แม่ระทมลูกติดยาขอเงินไม่ได้ใช้ปืนข่มขู่จะทำร้ายร่างกายต้องหนีไปหลบซ่อนที่บ้านญาติ
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับแจ้งจากนางสุริยา ฯ อายุ 56 ปี แจ้งว่าสามีตนเองเสียชีวิต อยู่กับบุตรชายชื่อนายเชิงชายฯอายุ 26 ปี ขอเงินเพื่อไปซื้อยาบ้ามาเสพ ตนไม่ให้ใช้ปืนข่มขู่ ตนเองกลัวจึงได้ให้เงินไป และนายเชิงชายฯได้ใช้ปืนยิงข่มขู่ชาวบ้านละแวกนั้น สร้างความหวาดกลัวอย่างมากให้กับคนในชุมชน พอไปซื้อยาบ้ามาเสพ แล้วก็จะกินเหล้า และสูบกัญชา ทำให้เกิดอาการหลอนจำใครไม่ได้ ด่าทอตนเองผู้เป็นแม่ และเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่เดินผ่านหน้าบ้าน จนตนเองต้องหนีไปหลบที่อื่น เพราะกลัวจะโดนฆ่า เวลาอยากเสพยา ก็จะขอเงินแม่ ถ้าแม่ไม่มีให้ ก็จะพังบ้านทุบทำลายข้าวของในบ้านให้เสียหาย
เมื่อประมาณปี 2565 ได้ใช้ปลากระป๋องเขวี้ยง เข้าที่บริเวณศรีษะจนเป็นแผล ตนเองได้เดินทางเข้าแจ้งความกับตำรวจ ก็ลงบันทึกประจำวันไว้ แล้วบอกว่ายังไงก็เป็นแม่ลูกกัน ไม่ให้เอาเรื่อง ตนเองต้องทนอยู่สภาพหวาดผวาแบบนี้ 3 ปีแล้ว นายสุริยาฯก็ได้ใจ ก่อเหตุแบบนี้กับตนเองมาตลอด จนครั้งนี้ทนไม่ไหวจริงๆจึงได้แจ้งฝ่ายปกครอง ให้มานำตัวไปดำเนินคดีให้ด้วย ถ้าขืนอยู่แบบนี้ แม่คงตายแน่นอน ทุกวันนี้ก็อยู่แบบหวาดผวาเสียสุขภาพจิตมาก และตนเองก็จะได้เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนที่ สภ.นากลาง ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
จากนั้นชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอนากลางนำโดย นายชยังกูร เสริมสุข ปลัดอำเภอนากลาง ,นายปราบ โพธิ์ศรีงาม เจ้าหน้าที่ปกครองชำนาญงาน พร้อมเจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน ,ผู้ใหญ่บ้าน ,ผู้ช่วย ได้เดินทางไปที่ ตำบลโนนเมือง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู พอไปถึงพบนายเชิงชายฯ อายุ 26 ปี นอนอยู่ในบ้าน ตรวจปัสสาวะพบว่าเป็นสีม่วง โดยนายสุริยาฯให้การรับสารภาพว่า ตนเองไปซื้อยาบ้ามาจากคนชื่อปอ ( ไม่ทราบชื่อสกุลจริง) 4 เม็ด ในราคาเม็ดละ 50 บาท แล้วเสพไปจนหมด เลยเกิดอาการหลอน มีคนเดินผ่านที่หน้าบ้าน เลยใช้ปืนแก๊ปยาว ยิงขึ้นฟ้าไป 1 นัด โดยตนเองพึ่งซื้อปืนมาในราคา 2,000 บาท พอยิงเสร็จได้นำปืนไปฝากไว้ กับเพื่อนที่กระท่อมนาท้ายหมู่บ้าน และสารภาพว่าได้ใช้ปืนข่มขู่จะทำร้ายแม่ เคยทำร้ายร่างกายแม่จริง ซึ่งเกิดจากอาการเสพยาเสพติด จากนั้นได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.นากลาง ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป.
ภาพ/ข่าวและเนื้อหานี้ เพื่อกิจการสื่อมวลชน เป็นการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่องานประชาสัมพันธ์ ไม่แสวงหาผลกำไรในทางการค้า. “ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด”