รวบวัยรุ่นป่าละเมาะตกใจหนีเจ้าหน้าที่ชนต้นไม้เกือบตกคลองทั้งเสพทั้งพกยาบ้า
เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุรศักดิ์ อักษรกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู ได้สั่งการให้ทุกพื้นที่ ออกหาข่าวจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดต่อมา นายเตชิต ทรงบุญศาสตร์ นายอำเภอนากลาง พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอนากลาง
นำโดยนายชยังกูร เสริมสุข ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคงอำเภอนากลาง,นายประสิทธิ์ มหาวงค์ ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดฯ และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน(ชรบ) ร่วมกันจับกุมนายบารมีฯอายุ 20 ปี ที่อยู่ตำบลฝั่งแดง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู ,นายอนุสรฯอายุ 24 ปี ที่อยู่ตำบลฝั่งแดง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู ของกลางยาบ้า 256 เม็ด พร้อมผลตรวจปัสสาวะเป็นสีม่วง สามารถจับกุมได้ที่ป่าละเมาะท้ายหมู่บ้านในตำบลฝั่งแดง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู
สืบเนื่องชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอนากลาง ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าที่ป่าละเมาะท้ายหมู่บ้านในตำบลฝั่งแดง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู มีวัยรุ่นจับกลุ่มเสพยาเสพติดจำนวนหลายคน ขับรถเข้าออกสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านละแวกนั้น ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอนากลาง จึงออกไปตรวจสอบบริเวณป่าละเมาะดังกล่าว ต่อมาได้มีชาย 2 คนขับรถจักรยายนต์ยี่ห้อเวฟ 110 ไอ สีขาวไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนเข้ามา พอเห็นเจ้าหน้าที่ชายทั้งสองคน ตกใจขับรถหนีพุ่งชนต้นไม้เกือบตกคลองน้ำ
ทิ้งรถจักรยานยนต์วิ่งหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ติดตามคุมตัวไว้ได้ ทราบชื่อทั้ง 2 คนคือนายบารมีฯอายุ 20 ปี,นายอนุสรฯอายุ 24 ปี ทั้ง 2 คนให้การรับสารภาพว่าพึ่งเสพยาบ้ามา ตรวจค้นพบยาบ้าบรรจุอยู่ในซองพลาสติกใส แบบกดปิดสีน้ำเงินซุกซ่อนอยู่ในถุงมือสีขาวลอยอยู่ในน้ำซึ่ง นายบารมีฯโยนลงน้ำระหว่างวิ่งหลบหนี เป็นยาบ้า 256 เม็ด นายบารมีฯยอมรับว่ายาบ้าทั้งหมด เป็นของตนเองซึ่งได้รับมาจากนายคิม ไม่ทราบชื่อสกุลจริง ส่วนนายอนุสรฯปฏิเสธว่ายาบ้าไม่ใช่ของตนเอง แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย,ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ส่วนนายบารมีฯเพิ่มข้อกล่าวหาอีกว่าขับขี่ยานพาหนะ ขณะมีสารเสพติดในร่างกาย นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.นากลาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.
ภาพ/ข่าวและเนื้อหานี้ เพื่อกิจการสื่อมวลชน เป็นการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่องานประชาสัมพันธ์ “ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด”