จับสึกพระวัดดังมั่วสุมเสพยาบ้าฉี่สีม่วง 4 รูปค้นกุฏิพบยาบ้าพร้อมอุปกรณ์การเสพ   

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรุ่งเรือง ธิมาบุตร นายอำเภอนากลาง พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอนากลาง เข้าตรวจสอบหลังได้รับแจ้งจาก


ราษฎรในพื้นที่อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู ว่ามีพระวัดดังกลางเมือง มีพฤติกรรมมั่วสุมเสพยาบ้า พอไปถึงได้แบ่งกำลังเข้าตรวจค้นตามกุฎิ ตรวจปัสสาวะพบพระ 4 รูป ปัสสาวะเป็นสีม่วง ตรวจค้นภายในกุฎิพบยาบ้าพร้อมอุปกรณ์การเสพจำนวนมาก จึงได้นิมนต์ไปให้พระผู้ใหญ่ทำการลาสิกขา ตรวจสอบ 1.นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 34 ปี พบยาบ้าจำนวน 13 เม็ดซุกซ่อนในกุฎิ 2.นายบี (นามสมมุติ) อายุ 34 พบยาบ้าจำนวน 1 เม็ดซุกซ่อนในกุฎิ 3.นายซี (นามสมมุติ)อายุ 50 ปีพบยาบ้าจำนวน  29 เม็ด ซุกซ่อนในกุฎิ 4.นายดี (นามสมมุติ) อายุ 27 ปี ไม่พบยาบ้า




โดยนายซี(นามสมมุติ)ได้ให้การว่ายาบ้าที่นำมาเสพได้ซื้อมาจากนายคิด(นามสมมุติ)อายุ21ปีเจ้าหน้าที่จึงให้สั่งซื้อยาบ้ากับนายคิดผ่านทางแชทเฟสบุ๊คเพื่อขอซื้อยาเสพติดจำนวน20เม็ดในราคา500บาทและให้นำมาส่งที่กุฏิภายในบริเวณวัดโดยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้วางกำลังอยู่ภายในกุฏิสักพักนายคิดฯได้ขับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟสีน้ำเงินมาถึงบริเวณกุฏิเจ้าหน้าที่จึงได้เปิดประตูกุฏิออกมาแสดงตัวเข้าจับกุมตรวจค้นพบยาบ้า32เม็ดอยู่ในกล่องพลาสติกสีดำกระเป๋าสะพายข้างของนายคิดฯ




เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหา 1.นายเอ 2.นายบี 3.นายซี (นามสมมุติ) ว่าเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย ,มีไว้ในครอบครองซึ่งเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยไม่ได้รับอนุญาต 4.นายดี (นามสมมุติ) แจ้งข้อหาเสพ 5.นายคิดฯได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยไม่ได้รับอนุญาต ,มีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยไม่ได้รับอนุญาต ,จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยไม่ได้รับอนุญาต ที่เป็นการกระทำการจำหน่ายในบริเวณสถานศึกษา สถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด หรือสถานที่ราชการ ,ขับขี่ยานพาหนะขณะมีสารเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) อยู่ในร่างกาย โดยไม่ได้รับอนุญาต นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.นากลาง ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป.



ภาพ/ข่าวและเนื้อหานี้ เพื่อกิจการสื่อมวลชน เป็นการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่องานประชาสัมพันธ์ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด”